ค่ายรถยนต์ฟันธงตรงกันรถยนต์ยุคใหม่ “รุกคืบ…ก้าวสู่สังคมรถไฟฟ้า”เชื่อมคนเชื่อมเทคโนโลยีเชื่อมสิ่งแวดล้อมเชื่อมบริการพร้อมทุ่มงบวิจัยและพัฒนาเร่งให้ความรู้ผู้บริโภคชี้ตลาดรถยนต์ปีนี้ทะลุล้านคันแน่นอนปีหน้าโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า5 % ปัจจัยบวกเพียบเก๋งกระบะอีโคคาร์ยอดขายเพิ่มสูงสุดเป็นสถิติใหม่ตลาดกระบะบรรทุกเพื่อการพาณิชย์
สมาคมผู้สื่อข่างรถยนต์และจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) จัดเสวนาทางวิชาการหัวข้อ “ชี้แนวร่วมรัฐเอกชนเปิดยุทธศาสตร์ยานยนต์ใหม่รุกทันกระแสโลก…?”เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561 ภายในงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2018 โดยมีผู้บริหารจากบริษัทรถยนต์ชั้นนำและองค์กรภาคเอกชนมาร่วมแสดงความคิดเห็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า เนื่องจากปีนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ก้าวสู่มิติใหม่นั้นคือแนวโน้มการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดโดยยอดการผลิตรถยนต์ทุกแบรนด์ในเดือนตุลาคม2561อยู่ที่ 197,203 คัน เพิ่มขึ้น 20.62 % จากปีที่ผ่านมา โดยรถยนต์นั่งมียอดการผลิต 76,905 คัน เพิ่มขึ้น จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา9.31 % ส่วนรถกระบะ1ตันมียอดการผลิต117,539คันเพิ่มขึ้น30.15 %
จะสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงนี้การผลิตรถกระบะ1ตันจำนวนเพิ่มมากขึ้นอันนี้ชี้ให้เห็นถึงการเติบของเศรษฐกิจของประเทศเพราะรถกลุ่มนี้ผู้บริโภคจะซื้อไปใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นหลักซึ่งคาดว่าการผลิตรถในเดือนพฤศจิกายน2561จะยังคงใกล้เคียงกับเดือนตุลาคมด้วยเหตุที่ผู้ผลิตต้องเร่งผลิตรถล่วงหน้าเพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่และผลิตรถรองรับยอดจองที่จะเกิดขึ้นในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่35ซึ่งคาดว่าจะมียอดจองประมาณ4-5หมื่นคัน
ทางด้านสถิติการผลิตรถยนต์ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม2561รวมทุกประเภทอยู่ที่1,801,319คันเพิ่มขึ้น9.75 % แบ่งเป็นรถยนต์นั่งผลิตอยู่ที่ 738,340 คันเพิ่มขึ้นจากปีก่อหน้า 8.19 % รถโดยสารมากกว่า10ตันผลิต437คันเพิ่มขึ้น 95.09 % รถกระบะ1ตัน 1,035,643 คันเพิ่มขึ้น 11.05 % การผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่และการผลิตกระบะ1ตันเติบโตเป็นดรรชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ขยายตัวเติบโตขึ้นอีกด้วยเนื่องจากการผลิตรถกระบะ1ตันเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย 55 % และเพื่อการส่งออก 45 %
“การเติบโตขึ้นของตลาดรถกระบะเพื่อบรรทุกเป็นดรรชนีชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเนื่องจากความต้องการใช้รถของผู้บริโภคเพื่อใช้งานเพื่อการพาณิชย์อุตสาหกรรมก่อสร้าง-โครงพื้นฐานและเกษตรกรรมนอกจากนี้ความต้องการรถยนต์ในกลุ่มรถอเนกประสงค์SUV ยังสดใสตลาดเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องโดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาส่วนแบ่งจากตลาดจากกลุ่มรถยนต์นั่งสูงถึง 69 %โดยปัจจัยบวกมาจากขนาดเครื่องยนต์เล็กลงทำให้ราคาลดลงผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอัตราการเติบโตจึงดีมากๆนอกจากนี้ตลาดรถอเนกประสงค์PPV ยังเติบโต8.9เปอร์เซ็นต์ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์รถยนต์ในกลุ่มนี้”
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า จากการความต้องการของตลาดภายในประเทศมากขึ้นคาดว่า ประมาณการการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะสร้างสถิติใหม่อีกครั้งที่ 2,100,000คัน เติบโตขึ้น 5.59 % เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,000,000คันเพิ่มขึ้น15.96 % และผลิตเพื่อการส่งออก 1,100,000 คัน ลดลง2.35%
ทางด้านนายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์กลุ่มพรีเมี่ยมในปี2560ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง27% และคาดว่า ปี2561อัตราการเติบโตของตลาดรถยนต์กลุ่มพรีเมี่ยมจะอยู่ที่ระดับ 28,000คันหรือมีอัตราการเติบโตจากปีก่อนหน้า12 % โดยในปี 2559 บีเอ็มดับเบิลยูเริ่มให้ความสนใจเข้ามาทำตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) และรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ซึ่งทางบีเอ็มดับเบิลยูได้มีการให้ความรู้เรื่องรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดกับผู้บริโภคผ่านการจัดสัมมนาทางวิชาการในรูปแบบต่างๆและได้ขยายการให้ความรู้ไปสู่การให้ความรู้รถยนต์ไฟฟ้านอกจากนี้ยังให้ทุนการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดกับสถาบันการศึกษาต่างๆในประเทศไทยโดยรวมไปถึงการลงทุนตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วประเทศ50สถานีซึ่งจะดำเนินการได้ครบถ้วนภายในปีนี้ผลของการดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวส่งผลให้ปีนี้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดมีอัตราการเติบโตสูงถึง 112เ % นอกจากนี้บีเอ็มดับเบิลยูยังได้ลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ศูนย์พัฒนาAutonomous เมืองมิวนิกประเทศเยอรมนีเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจยานยนต์ในอนาคตของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก4แนวทางที่จะมาเป็นValue Change กุญแจดอกสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์คือ
-A:Autonomous
-E:Electrified
-C:Connected
-S:Services
สำหรับแนวทางการวิจัยและพัฒนารถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตเพราะการที่สังคมไทยจะก้าวสู่สังคมรถไฟฟ้ายังต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงเพื่อสร้างประโยชย์สูงสุดทั้งภาครัฐเอกชนและผู้บริโภค
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธาน ฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวทางการพัฒนารถยนต์มาสด้าในอนาคตว่า มาสด้ายังคงยึดแนวคิดzoom-zoom มุ่งเน้นโมเดลธุรกิจCASE : C=Connected, A=Autonomous, S=Shared, E=Electric ที่ยังคงวิสัยทัศน์ที่โลกผู้คนและสังคมพร้อมวางแผนทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ว่าปี2573จะลดการผลิตรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปให้ได้ 50% และในปี 2593 จะลดเหลือเพียง 10% โดยตั้งเป้าหมายให้การผลิตรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าแบบไฮบริดหรือปลั๊กอินรวมไปทั้งEVให้ได้ 95 % ของการผลิตรถทั้งหมด นอกจากนี้ ทางมาสด้ายังมีแผนนำเสนอยานยนต์ไร้คนขับออกสู่ตลาดในปี 2568โดยในอนาคตMazda EVก็จะยังคงเป็นรถที่อยู่ในวิสัยทัศน์ที่จะตอบโจทย์นำเสนอให้มีการขับขี่ที่สุกมีความรับผิดชอบต่อโลกและเหมาะสมกับสังคมและผู้คน
“รถพลังไฟฟ้าของทางมาสด้าที่จะเกิดขึ้นจะเป็นการนำเครื่องโรตารี่มาใช้ในการสร้างกระแสไฟฟ้ากลับไปสู่แบตตอรี่ในรูปแบบไฮบริดรวมถึงจะมีการต่อยอดการผลิตให้รองรับแก๊สแอลพีจีทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมถึงเรื่องของกระแสดไฟฟ้าที่อาจะมีผลกระทบจากพายุหรือไฟฟ้าดับสามารถนำเชื้อเพลิงจากแก๊สแอลพีจีมาใช้กับรถแล้วจ่ายไฟกลับไปยังเครื่องใช้ต่างๆในบ้าน”นายธีร์กล่าว
ทางด้านนายองอาจ พงศ์กิจวรสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการผลิตอยู่ในอันดับ 12 ของโลก อันดับ 4 ของเอเชียและเป็นที่ 1ของอาเซียนและโอเชียเนียรวมถึงตะวันออกกลางซึ่งถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์และที่สำคัญประเทศไทยยังติดอันดับหนึ่งในห้าของโลกในเรื่องของความคุ้มค่าในการผลิตเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือประเทศชั้นนำของโลกด้วยกระแสของโลกอุตสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบันจะเห็นว่ามีแนวโน้มไปเรื่องของรถพลังงานไฟฟ้าหรืออีวี ซึ่งเหตุผลของการเกิดอีวีนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของอีวีคือมีมลภาวะน้อยกว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้เชื้อเพลิงแต่ปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายมากนักโดยมียอดขายรถอีวีไม่ถึง 1% แต่อย่างไรก็ตามในหลายประเทศได้มีการพัฒนาและมีทิศทางนโยบายการใช้รถอีวีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตัวอย่างเช่นยุโรปคาดว่าปี2573จะมีรถที่เป็นไฮบริดหรือปลั๊กอินและอีวีอยู่ที่ 20-30 % ส่วนมหาอำนาจอย่างจีนตั้งเป้าว่า ในปี 2593 จีนจะใช้รถเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดส่วนญี่ปุ่นมีการคาดการณ์ว่า2593จะลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Effect) ให้ได้80 % โดยในอนาคตอันใกล้รถยนต์100คันจะต้องเป็นรถไฟฟ้า 20-30 %
“ทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคตสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงไม่พ้นเรื่องของแบตเตอรี่จะถูกพัฒนาให้ได้ระยะการขับขี่ได้ไกลขึ้นต่อมาเรื่องแรงบิดที่จะถูกพัฒนาให้สามารถลากจูงของที่มีขนาดใหญ่ได้อันต่อมาก็คงไม่พ้นเรื่องราคาที่ถูกลงและสุดท้ายคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รถไฟฟ้าเกิดขึ้นมาได้เร็วยิ่งขึ้นสุดท้ายคือประเทศไทยจะรักษาฐานการผลิต3ล้านคันและรักษามาตรฐานการผลิตเหนือคู่แข่งในตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวและเปลี่ยนแปลงการผลิตรถไฟฟ้าเพราะอย่างไรรถไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว”นายองอาจกล่าว
ขณะที่นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มองแนวโน้มตลาดรถยนต์ว่า ในฐานะที่นิสสันเป็นบริษัทข้ามชาติการกำหนดกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจจึงเป็นกลยุทธ์ระดับโลกเพื่อตอบโจทย์การตลาดทั่วโลกซึ่งจะขับเคลื่อนภายใต้ปรัชญา “Nissan Intelligent Mobility : NIM” คือเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ในอนาคตที่นิสสันพัฒนาขึ้นมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้ผู้ขับขี่ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อระว่างระบบนิเวศชุมชนและผู้ขับขี่เข้าด้วยกันนับเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกสะอาดและปลอดภัยนับจากนี้ไปนิสสันจะสร้างแบรนด์เพื่อสร้างการรับรู้ด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้คือ
-Nissan Intelligent Power: ความก้าวล้ำของระบบขับเคลื่อน
-Nisssan Intelligent Driving: ความก้าวล้ำของการขับขี่
-Nissan Intelligent Integration: ความก้าวล้ำของการผสานเทคโนโลยี
จากข้อมูลการวิจัยของสำนักงานสถิติแห่งล่าสุดระบุว่าในปี2573ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ
การเคลื่อนไหวและการเชื่อมต่อ (Mobility + Connected) จะเข้ามาอยู่บนรถยนต์และเคลื่อนไหวไปพร้อมกับรถและผู้ขับขี่
“ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความต้องการของผู้บริโภค (Demand) รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะเข้ามาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เช่นกันจากข้อมูลของนิสสันระบุว่ามีคนจำนวนมากถึง 40%มีความสนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยมีจำนวน1ใน3ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มอีก 5 % เพื่อที่จะได้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าต้องยอมรับว่าอนาคตยานยนต์ปฏิเสธไม่ได้ในสิ่งที่กำลังจะมาถึงดังนั้นค่ายรถยนต์ต้องเร่งให้ความรู้เตรียมความพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต”นางสาวสุรีทิพย์กล่าวในที่สุด