นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มาสด้าได้เผยโฉม ออล นิว มาสด้า บีที 50 ปิคอัพตัวใหม่ล่าสุด ซี่งเป็นโอกาสเดียวกับที่มาสด้าครบรอบ 100 ปี โดยก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วที่ประเทศออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทย มีแผนเปิดตัวพร้อมประกาศราคาอย่างเป็นทางการประมาณไตรมาสแรกของปี 2564 มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1,900 :ซีซี.150 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.000 ซีซี. 190 แรงม้า โดยมาสด้า บีที 50 ใหม่ เป็นการพัฒนาร่วมกับอีซูซุ และประกอบในประเทศ ที่โรงงานมอเตอร์ มอเตอร์(ประเทศไทย)
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถปิคอัพในประเทศไทยมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ถึง 50 % ที่ผ่านมา มาสด้าได้ร่วมแข่งขันในตลาดนี้ด้วยมาสด้า บี 1500 รวมทั้งมาสด้า บีที 50 จนเคยมีส่วนส่วนแบ่งในตลาดรถปิคอัพถึง 5 % แต่ปัจจุบัน ส่วนแบ่งเหลือไม่ถึง 1 % ดังนั้น เมื่อมีการเปิดตัวอย่างทางการในปี 2564 ก็คาดหมายว่า จะช่วยให้มาสด้า กลับมามีส่วนแบ่งในตลาดรถปิคอัพไม่น้อยกว่า 5 % เช่นเดิม แม้ว่า มาสด้า 50 จะพัฒนามาร่วมกับ อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่ โดยใช้โครงรถ เเซสซีส์ เครื่องยนต์ ร่วมกัน แต่ ดีไซน์ภายนอก และภายในห้องโดยสารยังคงเอกลักษณ์ โคโดะ ดีไซน์ ดีเอนเอ ของมาสด้าเต็ม 100 % เป้าหมายการทำตลาดคงไม่ได้แข่งขันกับอีซูซุ ดีเมคซ์ เพราะมาสด้าก็มีฐานลูกค้าเก่าอยู่แล้วประมาณ 200,000 คัน
รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ใหม่ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด โคโดะ ดีไซน์ เช่นเดียวกับรถยนต์มาสด้ารุ่นอื่นๆด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบเพื่อให้สามารถ “ใช้งานได้ทุกโอกาส” จึงทำให้รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ใหม่ โดดเด่นในทุกการใช้งาน ตั้งแต่การใช้งานแบบทางการไปจนถึงการขับแบบออฟโร้ด ซึ่งเคล็ดลับอยู่ที่การผสมผสานระหว่างแนวคิดโคโดะ ดีไซน์หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันงดงามของมาสด้ากับความทรงพลัง ทนทานและประโยชน์ใช้สอยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถปิกอัพโดยออกแบบตามแนวคิดโคโดะ มีรายละเอียดที่งดงามและให้ความรู้สึกหนักแน่นในขณะที่ด้านหน้าดูมีมิติเส้นสายบนตัวรถช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งซึ่งเหมาะกับรถปิกอัพ ซิกเนเจอร์วิงส์และไฟหน้าที่มีรูปทรงกระบอก ทำให้มองแล้วรู้ทันทีว่าเป็นรถมาสด้า เช่นเดียวกับการออกแบบภายในที่ผสมผสานอย่างมีรสนิยมระหว่างคุณภาพและความแข็งแกร่งของรถปิกอัพสิ่งนี้ทำสำเร็จได้โดยการออกแบบแผงหน้าปัดและองค์ประกอบต่างๆ ในแนวนอน ทำให้ได้ภายในที่กว้างขวาง และการตกแต่งด้วยสีเมทัลลิก ก็ยังช่วยเพิ่มมุมมองแบบสามมิติให้กับห้องโดยสารอีกด้วย
จุดมุ่งหมายของการออกแบบรถปิกอัพมาสด้า BT-50 ใหม่ คือออกแบบตามแนวคิดโคโดะซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวอันสง่างาม มาผสมผสานกับความทรงพลัง ความทนทาน และประโยชน์ใช้สอยที่เป็นเอกลักษณ์ของรถปิกอัพมาสด้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ให้สามารถ “ใช้งานได้ทุกโอกาส” มาสด้าได้ออกแบบให้รถโดดเด่นในทุกสถานการณ์การขับขี่ ตั้งแต่การใช้งานแบบทางการจนถึงการขับแบบออฟโร้ด กระโปรงหน้ารถที่สูงทำให้ด้านหน้าดูบึกบึนและทรงพลังตามแบบฉบับของรถปิกอัพ นอกจากนั้น เส้นสายที่ลากยาวต่อเนื่องจากไฟหน้าไปตามแนวสะท้อนของด้านข้างรถต่อเนื่องไปจนถึงไฟท้าย ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายของโคโดะดีไซน์ทำให้สามารถตัดทอนองค์ประกอบที่ไม่จำเป็นออกไปได้ทั้งหมด แต่ในทางกลับกันก็ช่วยทำให้รู้สึกถึงคุณภาพของการออกแบบที่เกินกว่าจะหาได้จากรถปิกอัพทั่วๆ ไป
ด้านหน้ารถประกอบด้วยกระจังหน้าที่สูงและตั้งตรงที่ให้ความรู้สึกสง่าผ่าเผย ซิกเนเจอร์วิงส์ที่แผ่ขยายออกทางด้านข้างและไฟหน้ารูปทรงกระบอกสูบ ก็ทำให้ดูดุดันและแสดงถึงความงดงามอันประณีตที่มองแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นรถมาสด้า เมื่อมองจากด้านหลัง ซุ้มล้อที่ดูโดดเด่นให้ภาพลักษณ์ที่ทรงพลัง กระบะท้ายที่ทอดยาวไปจนถึงสัญลักษณ์มาสด้าที่ด้านหลัง สร้างความรู้สึกที่ต่อเนื่องจากด้านหน้ารถไปจนถึงด้านหลัง โดยรวมแล้วการออกแบบได้สะท้อนถึงคุณภาพและความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า
ไฟหน้าแบบ LED ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโฉบเฉี่ยวและเป็นทรงกระบอก ทำให้ได้แสงไฟที่สว่างไสว ดูมีมิติและชัดเจนที่เห็นแล้วรู้ว่าทันทีว่าเป็นลักษณะการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า ส่วนไฟท้ายก็เป็นรูปทรงกระบอกเช่นเดียวกับไฟหน้า ซึ่งสอดคล้องกับสไตล์การออกแบบไฟทรงกลมอันเป็นลักษณะเฉพาะของมาสด้า
ภายในถูกออกแบบให้สอดคล้องกับธีมการออกแบบภายนอก โดยผสมผสานระหว่างภาพลักษณ์ที่โดดด่นของมาสด้า กับความทนทานและทรงพลังของรถปิกอัพการออกแบบคอนโซลในแนวราบที่ขยายออกไปถึงประตูทั้งสองด้านทำให้ห้องโดยสารมีความสะดวกสบายและมีพื้นที่กว้างขวาง คอนโซลหน้าที่ดูแข็งแรงและช่องแอร์ก็ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกที่แข็งแกร่งและทรงพลังให้กับรถปิกอัพ แผงคอนโซลหน้ามาพร้อมกับแผ่นรองหัวเข่าและใช้การออกแบบที่เน้นผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลางอันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า และสุดท้ายการเดินตะเข็บด้ายอย่างพิถีพิถันบนแผงหน้าปัดคอนโซลหน้าและแผ่นรองหัวเข่าก็ช่วยเพิ่มสัมผัสถึงคุณภาพของการตกแต่งภายในห้องโดยสาร
รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ใหม่ มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก 2 ชุด โดยมีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่อยู่ตรงกลาง และมีแผงหน้าปัดด้านหลังสีดำสนิท จึงทำให้ตัดกันอย่างชัดเจนระหว่างตัวอักษรสีขาวกับขอบสีเงินของมาตรวัดแบบอนาล็อก ซึ่งให้ความรู้สึกลุ่มลึกและดุดัน
ช่องแอร์ถูกวางตำแหน่งในส่วนกลางด้านซ้ายและด้านขวาของคอนโซลหน้า ทำให้ดูมีมิติและตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยแถบที่ลากยาวจากกลางคอนโซลต่อเนื่องไปยังเบาะนั่งผู้โดยสารซึ่งช่องแอร์และแถบกลางคอนโซลนี้ได้ถูกตกแต่งด้วยสีเงินเข้มที่ให้ความรู้สึกสงบ กรอบช่องแอร์สีเงินเข้มก็ยังช่วยเสริมสร้างความสง่างาม ในขณะที่สีดำด้านที่ตกแต่งแผงคอนโซลก็ให้ภาพลักษณ์ที่หนักแน่นของเมทัลลิก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยผสมผสานการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของรถปิกอัพกับความลงตัวของการออกแบบ
รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ใหม่ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง WXGA ขนาด 7 นิ้ว หรือ 9 นิ้ว ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนของคอนโซลหน้า และยังมีจอแสดงผลMulti-information Displayขนาด 4.2 นิ้ว ที่สามารถควบคุมระบบนำทางด้วยการสัมผัสได้และยังมีApple CarPlay® และฟังก์ชั่น Android Auto™และในบางรุ่นยังรองรับฟังก์ชั่นการควบคุมการทำงานด้วยเสียง อีกด้วย
เครื่องยนต์ดีเซลขนาด3.0 ลิตร มาพร้อมระบบคอมมอนเรลแรงดันสูงที่ฉีดเชื้อเพลิงที่แรงดันสูงสุดถึง 250 เมกะปาสกาล (MPa)และ VGS เทอร์โบที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีการเคลือบฉนวนที่ลูกสูบและเกียร์Double-scissorsที่ช่วยลดเสียงรบกวน สิ่งเหล่านี้ถูกรวมอยู่ในเครื่องยนต์จึงทำให้สามารถเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ และช่วยลดเสียงรบกวน ให้กำลังแรงม้าสูงสุด190 แรงม้า (140 กิโลวัตต์) ที่3,600 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 450นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.1 กม./ลิตร
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลขนาด1.9 ลิตร ระบบควบคุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำงานแม่นยำอัตราทดเกียร์ที่เหมาะสม เสริมการควบคุมอัตราเร่งที่เพิ่มความเร็วรอบเมื่อออกจากจุดสตาร์ท และระบบหล่อเย็น EGR ถูกติดตั้งมาในฝาสูบ พร้อม Water Jacketช่องทางระบายความร้อนด้วยน้ำภายในเสื้อสูบและฝาสูบในท่อทางเดิน EGR ซึ่งเครื่องยนต์นี้ให้การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มีความเงียบและทนทาน และให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังเมื่อเร่งเครื่องออกจากจุดสตาร์ท โดยให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (110 กิโลวัตต์) ที่ 3,600รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600รอบต่อนาทีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.1กม./ลิตร